🤔 เคยเป็นบ้างไหม? รู้สึกเหมือนมีแสงวาบคล้ายแสงแฟลชจากกล้องมือถือหรือฟ้าแล่บ สาดใส่ดวงตา 👁 ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย นี่คือสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้ามของอาการโรคจอประสาทตาเสื่อมที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นระยะยาวได้❗❗
ที่เราเห็นเป็นแสงสว่างวาบ แปล๊บ ๆ เป็นเพราะ 👉 สภาพของวุ้นลูกตาถูกเปลี่ยนให้มีการหดตัวและกลายเป็นของเหลว เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้วุ้นลูกตาลอกออกจากจอประสาทตา ซึ่งเจ้าการลอกนี่แหละที่เป็นสาเหตุทำให้เราเห็นแสงวูบวาบ แปล๊บ ๆ เหมือนแฟลช หรือฟ้าแล่บนั่นเอง ในบางครั้งอาจมีแรงดึงบนจอประสาทตาควบคู่ไปด้วย เป็นแล้วต้องรีบรักษา เพราะอาจร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้!
นอกจากอาการเห็นแสงวาบแล้ว ยังสามารถมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วยเช่นกัน 👇
◼สายตาปรับการมองเห็นในที่มืดมาที่สว่างไม่ค่อยได้
◼ เห็นภาพบิดเบี้ยว ผิดรูปทรง
◼ แพ้แสง หรือมองในที่สว่างไม่ชัด
◼ เห็นสีผิดเพี้ยนไปจากปกติ
◼ มองภาพไม่ชัด ขุ่นมัว มีเงาดำบังอยู่กลางการมองเห็น หรือสูญเสียการมองเห็นไปเลย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
◼ อายุ ส่วนใหญ่มักพบในกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
◼ มีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมเหมือนกัน
◼ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ หลอดเลือด เช่น ความดันสูง คอเลสเตอรอลสูง เป็นต้น
◼ ใช้สายตาจ้องแสงอัลตราไวโอเลต หรือแสงแดด ติดต่อกันมากเกินไป
◼ น้ำหนักเกินมาตรฐาน หรือผู้ที่เป็นโรคอ้วน
◼ การดื่มแอลกอฮอลล์ หรือสูบบุหรี่ ก็เข้าข่ายเป็นปัจจัยเสี่ยงเช่นเดียวกัน
📌การป้องกันโรคนี้ไม่มีที่แน่ชัด แต่แพทย์ก็ลงความเห็นว่าก็ยังพอมีวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น การทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ พยายามควบคุมน้ำหนัก และงดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอลล์ เป็นต้น หรือสรุปง่าย ๆ ว่า แค่ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้แล้ว
และอย่าลืมไปตรวจสุขภาพตาเป็นประจำด้วยนะ เพราะยิ่งเจอโรคนี้เร็ว และรักษาได้อย่างทันท่วงที ก็สามารถช่วยลดความรุนแรง และความเสี่ยงในการสูญเสียการมองเห็นไปได้เยอะเลยล่ะ!
source นายแพทย์ อภิวัฒน์ มาวิจักขณ์