1. ยีนส์ก่อมะเร็งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่สามารถที่จะถูกยับยั้งได้ด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย จึงทำให้เป็นโรคมะเร็งเล็บ
2. การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ เกิดความผิดปกติในร่างกาย เกิดการผ่าเหล่าหรือเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลต่อเซลล์มะเร็งได้
3. รังสี สร้างความเสียหายให้กับ DNA รวมถึงการยับยั้ง และควบคุมการทำให้เกิดเนื้องอก รวมถึงเซลล์มะเร็งต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องอยู่กลางแดดมีความเสี่ยงสูงมาก
(เครดิต - ครบเครื่องเรื่องผิวหนัง โดย สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย)
1. แถบหรือเส้นสีน้ำตาลวิ่งตามความยาวของเล็บ ตรวจดูว่าแถบสีน้ำตาลนั้นคมชัดดีหรือไม่
ถ้าคมชัดดีและมีความกว้างไม่เกิน 6 มม. ถือว่าโอกาสที่จะเป็นมะเร็งค่อนข้างต่ำมาก
หากแถบสีมีความกว้าง สีไม่สม่ำเสมอ ขอบไม่คมชัด
หรือ มีการเปลี่ยนสีและขนาด แนะนำว่าควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเร็วที่สุด
(เครดิต - ครบเครื่องเรื่องผิวหนัง โดย สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย)
2. เม็ดสีบนจมูกเล็บ หากสีน้ำตาลหรือดำเลอะขึ้นมาถึงจมูกเล็บ (Hutchinson’s sign)
มักเป็นสัญญาณที่ไม่ดี และ ควรไปพบแพทย์
(เครดิต - ครบเครื่องเรื่องผิวหนัง โดย สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย)
3. ก้อนเนื้อใต้เล็บ อาจทำให้เล็บแยกออกจากฐานด้านล่าง
ถ้าสังเกตเห็นว่าเล็บมีลักษณะนี้แนะนำว่าควรพบแพทย์เช่นกัน
การที่เล็บมีสีผิดปกติสามารถเกิดจากอะไรได้บ้างนอกจากมะเร็งผิวหนัง?
การที่เล็บมีสีผิดปกติไม่จำเป็นต้องเกิดจากมะเร็งผิวหนังเสมอไป สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เล็บเปลี่ยนสีได้ ดังนี้
1. แถบเล็บดำที่เป็นหลาย ๆ นิ้ว อาจเกิดจากเม็ดสีปกติในผู้ที่มีสีผิวเข้ม, ผิวหนังอักเสบรอบ ๆ เล็บ สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนสีของเล็บได้, อาจเป็นผลจากยาบางชนิดเช่น Azidothymidine (AZT) เป็นต้น
2. ภาวะเลือดออกใต้เล็บ มักเกิดในเล็บที่ได้รับการกระแทกบ่อย เช่น เล็บเท้าในกรณีที่ออกกำลังกายบ่อย ภาวะนี้ส่วนใหญ่จะทำให้เล็บมีสีแดงเข้ม หรือน้ำตาลเข้ม
3. ภาวะเล็บเขียว เกิดจากการติดเชื้อ แบคทีเรีย หรือเชื้อรา มักเกิดในเล็บมือที่มีการใช้บ่อย เช่น ในบุคคลที่ทำงานบ้านเป็นหลัก และมือมีการเปียกชื้นตลอดเวลา
การรักษา
แม้ในคนไทยจะพบมะเร็งชนิดนี้ได้ไม่บ่อยเท่ามะเร็งผิวหนังชนิดอื่น แต่อาจมีความรุนแรงสูงทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตได้ เนื่องจากมีการลุกลามเข้าอวัยวะภายในอย่างรวดเร็ว เช่น ปอด และสมอง
มะเร็งชนิดนี้สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดมะเร็งผิวหนัง และ ผิวหนังบริเวณใกล้เคียงออกเป็นบริเวณกว้าง ในผู้ป่วยบางรายอาจต้องผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงออกด้วย นอกจากนั้นอาจต้องให้การรักษาด้วยยา หรือการฉายรังสีร่วมกับการผ่าตัด