แอดเชื่อว่าสาว ๆ หลายคนคงเคยประสบปัญหาแบบนี้ นั่นก็คือ การปวดท้องประจำเดือน 🩸 บางคนปวดมากจนขยับตัวไม่ไหว ใช้ถุงน้ำร้อนก็ช่วยไม่ได้มาก ต้องพึ่งยาแก้ปวดประจำเดือนทุกครั้งอาการถึงจะทุเลา 😢
แต่ทุกคนรู้หรือเปล่าคะว่าการกินยาแก้ปวดประจำเดือนติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ สามารถส่งผลเสียกับร่างกายได้❗
อาการปวดประจำเดือน 👉 เกิดจากร่างกายผลิตสารกระตุ้นการอักเสบ โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) มากผิดปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณมดลูกบีบตัวมากกว่าปกติ นอกจากส่งผลให้มีอาการปวดท้องและ ยังทำให้ปวดบริเวณหลังและเอว มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียร่วมด้วย
ยาที่เรากินเพื่อบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน จะเป็นยาในกลุ่ม NSAIDs หรือกลุ่มยาต้านอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เป็นกลุ่มยาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบโดยเฉพาะ แต่หากกินติดต่อกันเป็นเวลานานจะส่งผลข้างเคียง ดังนี้ 👇
◼ ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแผลในกระเพาะอาหาร
◼ ทำให้เกล็ดเลือดแตก เวลาที่บาดเจ็บ เลือดจะหยุดไหลได้ยากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังเลี่ยงเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด
◼ ส่งผลเสียต่อไต ทำให้เกิดภาวะอื่น ๆ แทรกซ้อน เช่น ภาวะบวมน้ำ โพแทสเซียมในเลือดสูง และไตวาย
◼ อาการอื่น ๆ เช่น ความดันสูง ปวดหัว มึนงง เกิดผื่นคัน ลมพิษ และเยื่อบุจมูกอักเสบ เป็นต้น
📌 ดังนั้นจึงไม่ควรกินยาเกิน 500 มิลลิกรัม/ครั้ง และไม่เกิน 3 ครั้ง/วัน และไม่ควกินยาติดต่อกันเกิน 7 วัน