แอดเชื่อว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครที่ไม่ติดมือถือกันหรอกค่ะ เพราะมือถือสามารถทำได้หลายอย่าง ทั้งใช้ทำงาน เล่นเกม ดูหนัง-ฟังเพลง ไหนจะใช้ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ๆ แบบเรียลไทม์ได้อีก เรียกได้ว่าครบจบในเครื่องเดียว 🤩
แต่รู้หรือเปล่าคะว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่มือถือไม่เคยห่างกาย ต้องมีมือถืออยู่ในมือตลอดเวลา ตื่นนอนมาก็จับ ก่อนนอนก็หลับคามือถือ แบบนี้ถือว่าไหม่ปกตินะคะ เพราะอาจจะเป็นโรคกลัวการขาดมือถือก็เป็นได้ 😨
โนโมโฟเบีย หรือโรคกลัวการขาดมือถือ เป็นอาการของคนที่ติดมือถือมาก ไม่ว่ากำลังทำกิจวัตรประจำวันหรือกิจกรรมอื่น ๆ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ประชุม ทำงาน จะต้องมีมือหนึ่งที่คอยเล่นมือถืออยู่ตลอดเวลา เข้าแอปนู้น ออกแอปนี้วนไป คอยเช็กว่ามีข้อความหรืออะไรใหม่อัปเดตหรือเปล่า
🔍 เช็กลิสต์อาการว่าเราเข้าข่ายโรคโนโมโฟเบียหรือเปล่า?
◼ พกมือถือติดตัวตลอดเวลา ไม่วางไว้ห่างตัวแม้แต่นิดเดียว
◼ เช็กข้อความ หรือโซเชียลมีเดียตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไร
◼ จะรู้สึกกระวนกระวาย วิตกกังวลและเครียด เมื่อไม่มีมือถืออยู่ข้างกาย
◼ ใช้มือถือระหว่างทำกิจกรรมอื่น เช่น กินข้าว เข้าห้องน้ำ ขับรถ
◼ ไม่เคยปิดมือถือเลยสักครั้ง
◼ ใช้ชีวิตในโลกออนไลน์มากกว่าการมีปฎิสัมพันธ์กับคนรอบตัว
◼ ห้ามใจไม่ให้เล่นมือถือภายใน 1 ชั่วโมงไม่ได้
โนโมโฟเบีย เหมือนจะเป็นโรคที่ไม่มีอะไรร้ายแรง แต่ว่าก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน 👉 อาการนิ้วล็อก ตาล้าเพราะโดนแสงสีฟ้าจากจอมากไป ปวดคอ บ่า ไหล่ เพราะต้องก้มหน้าดูมือถือตลอดเวลา นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสมาธิ ทำให้เกิดอาการสมาธิสั้น และอารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียว รออะไรนาน ๆ ไม่ได้
📌 ใครที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคนี้ ก็สามารถค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองได้ ดังนี้
◼ จำกัดเวลาในการใช้มือถือ เช่น จะงดใช้มือถือ 15 นาที ในทุก 1 ชั่วโมง และหากิจกรรมอย่างอื่นทำในช่วงเวลานั้นแทน
◼ หากิจกรรมอื่นมาทดแทนการเล่นมือถือ เช่น การอ่านหนังสือ ออกไปเดินเล่น ฝึกเย็บปัก ทำงานฝีมือ เพื่อเพิ่มสมาธิให้กับตัวเองด้วย
◼ ปิดมือถือก่อนเข้านอน หากต้องใช้นาฬิกาปลุกในมือถือก็ควรวางไว้ให้ห่างจากมือ
◼ ใช้เวลากับผู้คนรอบข้างให้มากขึ้น